วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

วีระบุรุษแห่งกรมป่าไม้

หากจะพูดถึงตำนานแห่งกรมป่าไม้ทุกคนต้องนึกถึง สืบ  นาคะเสถียร บุรุษผู้อุทิศชีวิตกับการทำงานอนุรักษ์และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า วันนี้ 1 กันยายน 2554 ครบรอบ 21 ปีแห่งการจากไปร่วมรำลึกแด่วีระชนชาวไทย

ประวัติการศึกษา

     สืบได้เข้าเรียนชั้น ประถมตอนต้น ที่โรงเรียนประจำจังหวัดปราจีนบุรี ช่วงปิดเทอมว่างจากการเรียน ก็ออกไปช่วยทางบ้าน ยกเสริมแนวคันนาเอง เพื่อไม่ให้มีข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน เมื่อเรียนจบชั้นประถม 4 ได้ไปเรียนต่อที่ โรงเรียนเซนต์หลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา จนจบในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังจากนั้นได้เข้าศึกษาในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2511 และจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2514 และต่อมาได้ทำงานที่ส่วนสาธารณะของการเคหะแห่งชาติ ใน พ.ศ. 2517 สืบเข้าศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิชาวนวัฒน์วิทยา ที่คณะวนศาสตร์ มหาลัยเกษตรศาสตร์ สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2518 ได้เริ่มชีวิตข้าราชการ โดยบรรจุเข้ารับราชการ ตำแหน่งพนักงานป่าไม้ตรี กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 สืบได้รับทุนการศึกษาจากบริติชเคาน์ซิลเรียนต่อในระดับปริญญาโทอีกครั้ง สาขาอนุรักษ์วิทยา ที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ในอังกฤษ และจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2524

ตำนานของห้วยขาแข้ง

     สืบ นาคะเสถียร ได้กลับเข้ามารับราชการที่กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ในปี พ.ศ. 2531 และสืบได้พยายามเสนอให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และป่าห้วยขาแข้ง มีฐานะเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ จากองค์การสหประชาชาติ โดยเล็งเห็นว่าฐานะดังกล่าวจะเป็นหลักประกันสำคัญ ที่จะคุ้มครองป่าผืนนี้เอาไว้อย่างถาวร โดย ปลายปี พ.ศ. 2532 สืบได้รับทุนเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่อังกฤษ พร้อมกับได้รับมอบหมาย ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งเป็นป่าอนุรักษ์ที่มีความสำคัญมากไม่แพ้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ในปี พ.ศ. 2533 สืบได้จัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร ได้เป็นวิทยากรบรรยาย และร่วมอภิปรายในโอกาสและสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง โดยเน้นเรื่อง "การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและปัญหาที่เกี่ยวข้อง" และ "การอพยพสัตว์ป่าตกค้างในเขื่อนเชี่ยวหลาน"
ด้วยป่าห้วยขาแข้งเป็นผืนป่าที่อุดมไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่าอันล้ำค่า ทำให้หลายฝ่ายต่างก็จ้องบุกรุกเข้ามาหาผลประโยชน์ สืบได้แสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะรักษาป่าผืนนี้ไว้ให้ได้อย่างชัดแจ้ง ได้ประกาศให้รู้ทั่วกันว่า "ผมมารับงานที่นี่ โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน" ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปรับงานหัวหน้าเขตฯ ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่สามารถปกป้องป่าได้ เนื่องจาก การดูแลผืนป่าขนาดมากกว่าหนึ่งล้านไร่ ด้วยงบประมาณและกำลังคนที่จำกัด รวมถึงการทุจริตของเจ้าหน้าที่ กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย และมากกว่านั้นปัญหาความยากจนของชาวบ้านที่อยู่อาศัยโดยรอบเขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่า ทำให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลที่หวังผลประโยชน์ ได้ว่าจ้างชาวบ้านในเขตป่าสงวนเข้ามาตัดไม้ และลักลอบล่าสัตว์ในเขตป่าอนุรักษ์
ในทรรศนะของสืบ หนทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้คือการสร้างแนวป่ากันชนขึ้น มา โดยให้ชาวบ้านอพยพออกนอกแนวกันชน และพัฒนาแนวกันชนให้เป็นป่าชุมชนที่ชาวบ้านสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับความสนใจและความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

การเสียสละด้วยชีวิต




     ช้ามืดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 สืบ นาคะเสถียร ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง สืบได้สั่งเสียลูกน้องคนสนิทและเขียนจดหมายสั่งเสีย 6 ฉบับ ชำระสะสางภาระรับผิดชอบ และทรัพย์สินส่วนตัวที่คั่งค้าง รวมถึงมอบหมาย เครื่องใช้ และอุปกรณ์ในการศึกษาวิจัยด้านสัตว์ป่า ให้สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ตั้งศาลเพื่อแสดงความคารวะต่อดวงวิญญาณของเจ้าหน้าที่ ซึ่งพลีชีพรักษาป่าห้วยขาแข้ง แล้วสวดมนต์ไหว้พระจนจิตใจสงบ เสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่งในราวป่าลึก ที่ห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร ได้จบชีวิตของเขาลง และเป็นจุดเริ่มต้นของ "ตำนานนักอนุรักษ์ไทย สืบ นาคะเสถียร ผู้ที่รักป่าไม้ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ด้วยกายและใจ"
สองอาทิตย์ต่อมา บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมป่าไม้ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายอำเภอ ป่าไม้เขต และ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ อีกนับร้อยคน ได้เปิดประชุมเพื่อหามาตรการป้องกันการบุกรุกป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยขาแข้ง โดย สืบ นาคะเสถียร ได้พยายามจัดตั้งการประชุมหลายสิบครั้งแต่ไม่มีการตอบรับจากเจ้าหน้านี้สัก ครั้งจนกระทั่งการเสียชีวิตของสืบ ทำให้มีข้อกล่าวว่า หากไม่มีเสียงปืนนัดนั้น การประชุมดังกล่าวก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน
การจากไปของ สืบ นาคะเสถียร ได้ส่งผลสะเทือนอย่างล้ำลึกต่อผู้คนที่รักธรรมชาติ และแสวงหาความเป็นธรรมในสังคม ทั้งนี้เพราะว่าในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ สืบมิได้เป็นเพียงข้าราชการอาชีพที่มีภาระการงานเกี่ยวกับการพิทักษ์ป่า และสัตว์ป่าเท่านั้น หากเป็นผู้นำคนสำคัญของขบวนการอนุรักษ์ธรรมชาติในประเทศไทย เป็นผู้ที่เคยต่อสู้เพื่อปกปักรักษาทรัพยากรป่าไม้ และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยไม่คำนึงภัยอันตราย การจากไปของเขานับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นความสูญเสียที่นักอนุรักษ์ธรรมชาติทุกคน ไม่อาจปล่อยให้ผ่านพ้นไป โดยปราศจากความทรงจำ


วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

สุจิตต์ วงษ์เทศ (เขียน),

หลายปีมาแล้วที่นักวิชาการชาวตะวันตกระบุว่าคนพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นชนเผ่าป่าเถื่อน (barbarians) โดยเชื่อว่าภูมิภาคนี้ไม่มีวัฒนธรรมหรืออารยธรรมโดดเด่นเกิดขึ้น จนกระทั่งพ่อค้าและพระภิกษุชาวอินเดียเดินทางมาถึง นักวิชาการชาวตะวันตกจึงกำหนดศัพท์เฉพาะขึ้น ใช้เรียกภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเห็นว่า ภูมิภาคนี้เป็นเพียงดินแดนส่วนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดีย คำจำกัดความดังกล่าวได้แก่ อินเดียไกล (l’Inde exterieure) อินเดียน้อย (Greater India) และรัฐแบบอินเดีย (The Indianised States)

ผลการขุดค้นทางโบราณคดีซึ่งดำเนินการครั้งแรกเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วทำให้นักวิชาการสลัดความคิดข้างต้นออกไปจนหมดสิ้น ปัจจุบันนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี และนักมานุษยวิทยาต่างก็เห็นพ้องกันว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่มีเอกลักษณ์รูปแบบทางอารยธรรมโดดเด่นเป็นของตนเองอย่างแท้จริง

หลักฐานที่นักโบราณคดีขุดค้นพบคือสิ่วหิน (chisels) อันเป็นเครื่องมือซึ่งพวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ (nomads) ใช้กันเมื่อประมาณ 800,000 - 600,000 ปีมาแล้วที่อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปางและโครงกระดูกของมนุษย์โฮโมอิเรคตัส (Homo Erectus คนเดินเหยียดหลังตรงพวกแรก)ขุดพบในเกาะชวา
เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคไพลสโตซีน (Pleistocene period ประมาณสองล้านถึงหนึ่งแสนปีมาแล้ว) ในขณะนั้นเกาะต่างๆในทะเลจีนใต้ รวมทั้งหมู่เกาะของมาเลเซีย และอินโดนีเซียยังมิได้แยกตัวออกไปจากแผ่นดินใหญ่ หลักฐานอื่นๆ ก็ชี้ชัดว่ามีการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อประมาณ 30,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อยเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงทางประชากรที่สำคัญครั้งแรก เกิดขึ้นประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว เมื่อมีคน อพยพจากจีนและดินแดนอื่นๆ มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคทางใต้ คนที่เข้ามาใหม่มิได้ขับไล่คนพื้นเมืองออกไป หากแต่ได้แทรกซึมเข้าไปสู่ชุมชนพื้นเมือง(Indigenous Communities) ทีละน้อย

หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบในจีนตอนใต้และเวียตนามเหนือ รวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ชี้ให้เห็นว่าคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รู้จักเทคโนโลยีการทำสำริดมาเป็นเวลานานถึง 3,500 ปีแล้ว

ภาพกลองมโหระทึก (kettledrum) ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในประเทศไทย พบที่อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่นๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ริเริ่มสร้างหมู่บ้านขนาดเล็กเมื่อประมาณ 3,000 ปี มาแล้ว ทำให้เชื่อกันว่าความชำนาญในการทำเครื่องมือเครื่องใช้สำริดเหล่านี้ถูกส่งผ่านเข้ามาจากมณฑลสีฉวน (Sichuan) และยูนนานของจีน

ภาพเขียนสีที่ถ้ำตาด้วง จังหวัดกาญจนบุรี รูปคนกำลังใช้กลองมโหระทึกประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ

รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรเชื่อว่า เคยมีการอพยพครั้งใหญ่ของคนจากจีนมายังประเทศไทยผ่านเวียตนามเมื่อประมาณ 3,500 ปี รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมเรียกผู้อพยพกลุ่มนั้นว่า “นักเผชิญโชค” และ”พ่อค้า”ที่เข้ามาแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ จำพวกแร่ธาตุและของป่า

ขณะนั้นดินแดนในประเทศไทยปัจจุบันเป็นแหล่งผสมผสานของชนพื้นเมือง (ethnic groups)อันประกอบด้วยชาวไต สยาม มอญและอินเดีย เทคโนโลยีที่ผู้อพยพนำมาและพัฒนาขึ้นใน”บ้านใหม่”ของพวกเขาคือ ความรู้ในการหลอมโลหะและการทำสำริด ต่อมาภายหลังจึงรู้จักการทำเครื่องมือเหล็ก อาวุธเหล็ก และเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำจากเหล็ก

นับเป็นเวลาประมาณ 2,500 ปี มาแล้วที่หมู่บ้านขนาดใหญ่ระยะแรกๆ หลายแห่งในแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แหล่งตั้งถิ่นฐานชุมชนเหล่านี้ถูกปกครองโดยหัวหน้าหมู่บ้าน สินค้าหลักของพวกเขามิใช่ข้าวหรือผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ หากแต่เป็นโลหะจำพวกทองแดงและเหล็ก ปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างคนจากส่วนในของภูมิภาคเอเฃียตะวันออกเฉียงกับนักเดินเรือต่างชาติทำให้หมู่บ้านเหล่านี้ขยายตัวขึ้นเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

หลักฐานชี้ให้เห็นว่าเมืองขนาดใหญ่ยุคแรกๆ ของภาคพื้นส่วนในของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างก็ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคใต้ของประเทศไทย และในที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่น้ำแม่กลองทางด้านตะวันตกของที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา การค้าขายจึงเกิดขึ้นระหว่างพ่อค้าอินเดียและจีนกับคนพื้นเมืองในเวียตนาม ซึ่งนักวิชาการปัจจุบันเรียกว่า พวกซาฮุยน์หฺ-ดองซอน (Sa Huynh – Dong Son)

มหากาพย์รามายณะ (The Ramayana epic) และนิทานชาดก (Jataka เรื่องในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า เขียนโดยชาวอินเดีย) เรียกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า สุวรรณภูมิ (Land of Gold) นิทานหลายเรื่องในพระชาดก (รวมทั้งเรื่องพระมหาชนก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชนิพนธ์อีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้) กล่าวถึงการเดินทางไปสู่ดินแดนสุวรรณภูมิอันถูกพรรณนาถึงในแง่ของความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ซึ่งคนทุกเชื้อชาติอยากจะเดินทางไปติดต่อค้าขาย

จากหลักฐานที่รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมกล่าวถึง ปรากฏว่าบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียในดินแดนประเทศไทยตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว

รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เชื่อว่า พระภิกษุชาวอินเดียสองรูปคือ พระโสณะเถระ และพระอุตตรเถระ ซึ่งถูกพระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแพร่ศาสนาพุทธในสุวรรณภูมิเมื่อประมาณ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราชนั้น อาจมาขึ้นฝั่ง ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน-แม่น้ำแม่กลองนั่นเอง ดังนั้นเมื่อสุวรรณภูมิเป็นจุดหมายหลักของบรรดาพ่อค้าต่างชาติเช่นนี้แล้ว คณะเผยแพร่ศาสนาพุทธของพระโสณะและพระอุตตระจึงมิใช่อาคันตุกะรายเดียวในขณะนั้นของภูมิภาคนี้

รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมระบุว่า ที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลองมีฐานะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของสุวรรณภูมิมาตั้งแต่ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช และทำให้มีการค้าขายของ พ่อค้าต่างชาติมากมายเกิดขึ้นในย่านนี้ ปฏิสัมพันธ์ข้างต้นจึงทำให้เกิดพัฒนาการของศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ การปกครองระบบกษัตริย์ ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับภารตะ(คืออินเดีย) และความหลากหลายของพิธีกรรมทางศาสนา ความเชื่อทางศาสนาที่นำเข้ามาเผยแพร่เหล่านี้ ได้ส่งอิทธิพลอย่างเด่นชัดต่อสังคมต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องมีความระมัดระวังต่อการเน้นให้เห็นถึงความสำคัญมากเกินไปของอารยธรรมอินเดียในภูมิภาคนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือก่อนที่พระภิกษุและพ่อค้าชาวอินเดียจะเดินทางมาถึงนั้น คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีอารยธรรมซึ่งได้พัฒนาการไปอย่างช้าๆ ตามวิถีของตนอยู่แล้ว

การติดต่อกับอินเดียจะไม่เกิดขึ้นถ้าหากมิได้รับอนุญาตจากหัวหน้าชุมชนชาวพื้นเมืองซึ่ง ดูเหมือนว่าผู้นำเหล่านี้จะตัดสินใจเลือกรับเอาศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ(ทั้งนิกายมหายาน และนิกายเถรวาท) ที่เห็นว่าเหมาะสมกับสังคมและความเชื่อดั้งเดิมของพวกเขามากที่สุด ลัทธิการนับถือปรากฏการณ์ธรรมชาติ (Animism)ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นความเชื่อหลักที่คล้ายๆกับสังคมแรกเริ่มอื่นๆในโลก ภาพเขียนสีในถ้ำและเพิงผาจำนวนมากซึ่งถูกค้นพบในประเทศไทย ล้วนถูกทำขึ้นก่อนการเข้ามาของอารยธรรมอินเดียทั้งสิ้นเราจะพบว่าในภาพเขียนบางแห่งมีรูปหัวหน้าชุมชนกำลังประกอบพิธีกรรมติดต่อกับบรรดาภูตผีและเทพเจ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเรื่องเล่าเก่าแก่พื้นเมืองกล่าวถึง พญานาค หรืองูศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน รวมทั้งร่องรอยความเชื่ออื่นๆที่เกี่ยวกับการนับถือธรรมชาติแบบโบราณ ปรากฎให้เห็นในพิธีสักการะเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลเกษตรกรรม คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด มีความเชื่อคล้ายกันเรื่องอำนาจอันเป็นอมตะของเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผู้ควบคุมจักรวาล โลก สิ่งมีชีวิตและภูตผีทั้งหมด ความเชื่อนี้สะท้อนให้เห็นจากการตกแต่งประดับประดากลองมโหระทึกสำริด ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ในรัฐเถียน (Tian State ใกล้กับทะเลสาบคุนหมิง) ในมณฑลยูนนานของจีน เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช กลองมโหระทึกสำริดเหล่านี้ถูกนำจากจีนมายังเวียตนามทางเหนือ เข้าสู่ตอนกลางแผ่นดินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะใกล้เคียงในเวลาต่อมาตามลำดับ

ในประเทศไทย กลองสำริดเหล่านี้รู้จักกันในชื่อกลองมโหระทึก หรือกลองสำริด มีลายจำหลักรูปกบ รูปสัตว์ 12 ราศี และรูปจำหลักคล้ายดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง เชื่อกันว่ากลองมโหระทึก เป็นสิ่งที่จะนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่ผู้นำของชุมชนผู้ซึ่งสามารถติดต่อกับเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าโดยตรง และกลองมโหระทึกก็มักจะถูกฝังไว้กับศพของหัวหน้าชุมชนด้วยเมื่อเขาตายลงไป

ภาพโครงกระดูกของมนุษย์ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือสำริดและเครื่องมือเหล็กถูกขุดพบร่วมกับภาชนะดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้สำริดและเหล็ก ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของอารยธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนการเข้ามาของพระภิกษุและพ่อค้าชาวอินเดีย